FAQ

ถามตอบเกี่ยวกับอุปกรณ์แก๊สรถยนต์

มีกลิ่นแก๊สเข้าห้องผู้โดยสาร รวมถึงบริเวณรอบๆ รถทั้งขณะจอดและตอนวิ่ง?

สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากแก๊สรั่ว แนะนำว่าให้กดสวิตช์แก๊สให้ไฟที่สวิตช์แก๊สดับไปทั้งหมด เพื่อใช้ระบบน้ำมัน แต่ถ้ายังมีกลิ่นอยู่ สันนิษฐานว่าน่าจะไม่ใช่กลิ่นแก๊ส น่าจะเป็นกลิ่นการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์

เครื่องยนต์สั่นในขณะเดินเบาเป็นขณะใช้ระบบแก๊สและน้ำมัน

อาจเกิดจากระบบของเครื่องยนต์เอง เพราะว่าระบบแก๊สทำหน้าที่จ่ายเชื้อเพลิงเท่านั้น เราต้องมาตรวจเช็กระบบเครื่องยนต์ด้วย เช่น
1. ระบบการจุดระเบิด ก็จะมีคอล์ยจุดระเบิดและหัวเทียนดูสิว่าสามารถใช้งานได้หรือไม่ (การจุดระเบิดไม่สมบูรณ์)
2. ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรก ทำให้การไหลของอากาศเข้าลิ้นปีกผีเสื้อไม่สมบูรณ์

ขณะใช้แก๊ส เกจ์บอกน้ำมันกลับลดลง?

สาเหตุในบางคันที่พบ เกิดจากรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ใช้ระบบดิจิตอลในการคำนวนระดับน้ำมันในถัง ก็จะมียี่ห้อ Honda ที่มักจะเป็น เพราะว่าทาง Honda ได้พัฒนาในเรื่องการวัดระดับน้ำมันเชื้อเพลิงระบบดิจิตอล วัดจากแรงดันในถังกับระยะทางใช้งาน เอามาคำนวณเป็นระดับน้ำมันในถัง

ถ้าติดตั้งถังใต้ท้องแล้วเกิด การกระแทกควรทำอย่างไร ?

1. จอดรถ ดึงเบรกมือ กดสวิทซ์ไปใช้เชื้อเพลิงน้ำมัน ดับครื่องยนต์ และดึงกุญแจออก
2.ลงจากรถ พร้อมสังเกตกลิ่นรั่วของเชื้อเพลิงทั้งสองชนิด แล้วรีบเปิดฝากระโปรงท้ายรถ ปิดวาล์วมือที่หัวถังก๊าซ
3.ถ้าเชื้อเพลิงรั่ว ให้แจ้งเหตุฉุกเฉิน และห้ามสตาร์ทเครื่องยนต์อีก เพราะอาจเกิดเพลิงลุกไหม้ได้
4.ให้สังเกตการณ์รั่วโดยพิสูจน์กลิ่นประมาณ 5 นาที
5.ถ้าไม่มีกลิ่นเชื้อเพลิงรั่ว ให้ทดลองสตาร์ทเครื่องยนต์ ซึ่งปกติจะต้องสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยน้ำมัน ด้วยตัวระบบแล้วทุกครั้ง เมื่อเครื่องติดสังเกตกลิ่นอีกประมาณ 3 นาที
6.ทดลองเปิดวาล์วที่ถังก๊าซ  แล้วกดสวิทซ์ ใช้ระบบเชื้อเพลิงก๊าซ  สังเกตกลิ่นก๊าซ  อีกครั้ง ถ้าไม่มีกลิ่นผิดปกติ ก็ขับรถต่อไปได้ แต่ถ้ามีกลิ่นก๊าซ อยู่ให้ยกเลิกการใช้ระบบเชื้อเพลิงก๊าซ แล้วขับด้วยระบบน้ำมันแทน ควรนำรถเข้าศูนย์ติดตั้ง เพื่อให้ช่างผู้ชำนาญตรวจสอบระบบ  อีกครั้ง

ถ้าเกิดอุบัติเหตุจากการชนรถที่ติดแก๊ส LPG/NGV ควรทำอย่างไร ?

ทำตามขั้นตอนนี้ เพื่อความปลอดภัยนะครับ
1.ตั้งสติ สำรวจอาการบาดเจ็บของเรา
2.จอดรถ ดึงเบรกมือ กดสวิทซ์ไปใช้เชื้อเพลิงน้ำมัน เปิดกระจก
3.ปิดสวิทซ์ กุญแจ และดึงกุญแจออกจากสวิทซ์กุญแจ
4.ลงจากรถนำของมีค่าและถังดับเพลิง(ถ้ามี) ออกมาด้วย
5.เปิดฝากระโปรงหน้า-หลัง เพื่อสังเกตดูอาการผิดปกติ
6.ปิดวาล์วหัวถัง LPG/NGV ที่ท้ายรถแล้วเปิดฝากระโปรงท้ายทิ้งไว้
7.หากมีกลิ่นก๊าซหรือน้ำมันเชื้อเพลิง ให้รีบออกห่างจากรถพอสังเกตเห็นได้
8.หากเกิดเพลิงไหม้ให้รีบดับที่ต้นเพลิงทันที หรือแจ้งเหตุฉุกเฉิน
9.หากไม่พบอาการผิดปกติข้างต้นหลังเกิดอุบัติเหตุ ก่อนใช้รถระบบLPG/NGVอีก ควรนำรถของท่านเข้าศูนย์ติดตั้งLPG/NGV เพื่อเข้ารับการตรวจเช็คจากช่างผู้มีความชำนาญในระบบ LPG/NGV ก่อน

หม้อต้ม Tomasetto แตกต่างกัน อย่างไรเห็นชื่อเดียวกันแต่มีบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน?

รอคำคอบสักครู่

ชุด ECO / Mini/ OBD / Premium OBD ของ Versus ทั้ง 4ชุดนี้แตกต่างกันอย่างไร

ชุด Eco จะมีตัวกล่องประมวลผล ขนาด 16 บิท ที่สามารถใช้ได้กับรถรุ่นเก่าไม่เกิน ปี 2005 ครับ จึงมีราคาถูกกว่า เหมาะสำหรับรถรุ่นเก่าที่ ต้องการชุดในราคาประหยัด

– ชุดMINI มีกล่องประมวลผลขนาด 32 บิท สามารถใช้ได้กับรถทุกรุ่นครับ ราคาไม่สูงมากและสามารถตอบโจทย์ความประหยัดได้เป็นอย่างดีครับ

-OBD กล่องก็มีขนาด 32 บิทเหมือนกันครับแต่จะพิเศษตรงที่ว่า กล่องนี้จะเชื่อมต่อกับ OBD ของรถยนต์โดยตรงสามารถจะฉีดจ่ายได้เร็วกว่า 2 ชุดข้างบนที่กล่าวมา ทำให้ขับขี่ได้เหมือนน้ำมันหน่วงเวลาน้อยกว่า

– Premium OBD กล่องจะเหมือนกับ OBD แต่ความพิเศษของชุดนี้จะอยู่ที่ หัวฉีดเป็นหัวฉีดเดี่ยวแยกต่อสูบมีระยะทางฉีดที่ใกล้กับท่อไอดีมากกว่าจึ่งให้ได้ทั้งความประหยัดและอัตราการเร่งเสมือนน้ำมันเลยครับ

ถัง 58ลิตร เติมแก๊สแต็มถัง จะหนักเพิ่ม 58กิโลแน่ๆเลย

ต้องบอกยังงี้ครับ 1 ลิตร น้ำ จะมีน้ำหนักเพียง 0.56 กิโลเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ถัง 58 ลิตรเมื่อเติมแก๊สเต็มถัง ได้ 48 ลิตร(ค่าเฉลี่ย) จะ

คำนวนออกมา ได้  48*0.56 =  26.88 กิโล เท่านั้นเอง

ถังขนาด 58 ลิตรทำไมเวลาเติมได้แค่ 47 ลิตรเองครับ

เพราะด้วยระบบความปลอดภัยถังทุกใบจะเติมแก๊สได้แค่ 80-85 % ซึ่งอีก 15-20%นั้นเป็นพื้นที่ไว้แก๊สจะขยายตัวเองในกรณีที่ ตกหลุมหรือเขย่าในถนนขรุขระครับ

ทำให้ถังขนาด 58 ลิตรเติมแก๊สได้แค่ 46.4 – 49.5 ลิตรเท่านั้นครับ

Frequently Asked Questions

ถามตอบเกี่ยวกับการดูแลรักษารถติดแก๊ส

4 เหตุผล อย่าเพิ่งกลัวไฟเตือนระบบเครื่องยนต์

หากกล่าวถึงการขับรถยนต์แล้ว อาการรถเสียงกลางอากาศ ในปัจจุบันนั้น มีน้อยมาก ด้วยส่วนหนึ่งความทันสมัยเช้ามาช่วยในการป้องกันอาการต่างๆ ที่อาจจะนำไปสู่เครื่องยนต์ลากลับโรงงาน หนึ่งในนั้น ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ก็คงไม้สัญญาณไฟสีเหลืองที่โชว์ที่หน้า ที่อาจจะทำให้คุณตกใจจนแทบจะจอดรถทันที

ไฟสัญญาณที่ว่านี้เรียกว่า  ไฟ Engine  จะแสดงขึ้นทันทีเมื่อพบว่ารถของคุณอาจจะมีปัญหา หรือ เกิดปัญหาในระหว่างการทำงาน ฟังดูก็เป็นอะไรที่ร้ายแรงอยู่พอสมควร แต่อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ เพราะ บางทีไฟ engine ก็มีเหตุผลในการทำงานของมันเอง

1.ฝาถังน้ำมันอาจจะปิดไม่แน่น ความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีนั้น บางทีก็สร้างความน่ารำคาญ เพราะ เชื่อหรือไม่ว่า ไฟ  Engine  อาจจะโชว์ขึ้นมาเพียงเพราะว่าเด็กปั้มปิดฝาถังน้ำมันไม่แน่น หรือบางทีถ้ารถคุณเก่าไป ฝาถังอาจจะเกิดความเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะแตก หรือรั่ว ทำให้ แรงดันในถังน้ำมันนั้นไม่ปกติ ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือจอดรถเช็คฝาถังก่อน ถ้าใช่ ในระยะ 10 กิโลเมตร หลังจากที่คุณออกรถ ไฟดังกล่าวควรจะดับหายไป

2. แค่อุปกรณ์นิดหน่อย และความรู้เรื่องช่างอีกนิดก็จบงานได้  โลกทุกวันนี้ก้าวล้ำไปมากกว่าที่เราคิด หลายคนอาจจะไม่คิดแต่ มือถือของคุณ สามารถช่วยตรวจสอบและซ่อมรถไฟได้ เพียงแค่มีเครื่องอ่าน  OBD II  ว่าค่าอะไรในรถที่เพี้ยนหรือผิดพลาดไปจากที่มันควรจะเป็น และเมื่อคุณรู้ ก็ให้รีบจัดการพบช่างเสีย หรือบางที มันอาจจะเป็นแค่การอ่านค่าผิดของระบบก็เป็นไปได้เช่นกัน

3.มันมักไม่ใช่เรื่องฉุกเฉิน ถ้าสังเกตให้ดี ไฟ  Engine Light  นั้นจะเป็นไฟที่ใช้สัญญาณสีเหลือง ซึ่งหมายถึงให้พยายามระวังหรือใช้ความระมัดระวัง เนื่องจากเครื่องยนต์ไม่สมบูรณ์ ผิดกับไฟเตือนอันตรายอื่นๆ เช่นไฟเตือนระดับน้ำมันเครื่อง ไฟเตือนระดับน้ำในหม้อน้ำหรือกระทั่งแบตเตอร์รี่ ที่ใช้สัญญาณไฟสีแดง เพื่อบอกถึงอาการฉุกเฉิน ที่เกิดขึ้นจากการทำงานของระบบ

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านรถยนต์จากต่างประเทศชี้ว่า ไฟ Engine  นั้นเป็นการบอกเพียงว่าเครื่องยนต์มีการทำงานผิดพลาดอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่ปัญหาที่สำคัญ เพียงแต่บอกว่าเครื่องยนต์นั้นทำงานไม่สมบูรณ์ตามปกติ ซึ่ง อาจจะตรวจสอบทีหลังก็ได้  เว้นแต่กรณีที่มันขึ้นร่วมกับไฟเตือนอื่นๆขณะขับขี่ ก็ควรจะพิจารณาจอดเช็คปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นก่อนดีกว่า

 

4. ปัญหามันเยอะไปกับไฟอันเดียว  จะว่าไปแล้วไฟเตือนการทำงานของเครื่องยนต์นั้นสามารถโผลงติดได้มากมายหลาย สาเหตุ ตั้งแต่ท่อลมได้รับความเสียหาย ไปยัน ยันหัวเทียนบอด ไม่เว้นกระทั่ง คอยย์หัวเทียนรั่ว ซึ่งบอกเลยว่า จริงๆ มีหลายสาเหตุมากมายจริงๆ ในสัญญาณตัวนี้

ถ้าสำหรับแก๊ส ไฟเอนจิ้นขึ้น จะเกิดจาก

1.ส่วนผสมแก๊สหนาหรือบางเกินไป ถ้าเกิดขึ้นในตอนติดตั้งแรกๆ อาจจะเป็นเรื่องการจูนที่ไม่ดี หรือระบบยังไม่เข้าที่

2.ถ้าเกิดขึ้นหลังจากติดตั้งไปนานแล้ว ก็อาจจะเกิดจากความเสื่อมของตัวอุปกรณ์ เช่นหม้อต้ม หรือ ท่อยาง ที่เสื่อมสภาพ

ดังนั้นเอาเป็นว่าในกรณีที่คุณพบว่ารถของคุณ มีไฟ  Engine   ขึ้น ให้เริ่มด้วยการสังเกตความผิดปกติของรถก่อนว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ แต่ที่แน่นอนเลยคือว่า คุณต้องเตรียมตัวพารถไปช่างแน่นอนในเร็วๆนี้

ก๊าซ (LPG) และ (NGV) เป็นพลังงาน ที่ใช้ในรถยนต์ได้อย่างไร

จริงแล้วน้ำมันเบนซินเป็นของเหลว แต่ในการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ น้ำมันจะต้องมีการเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นไอเสียก่อน จึงจะผสมกับอากาศเป็นส่วนผสมที่เรียกว่า ไอดี ส่วนการใช้ (LPG) และก๊าซ (NGV) ก๊าซจะถูกดูดเข้าเครื่องยนต์ใสสถานะไอที่ผสมกับอากาศรวมเป็นส่วนผสมที่เรียกว่า ไอดี เช่นกัน

    ค่าออกเทนของก๊าซ (LPG) มีค่าอยู่ประมาณ 105 RON ก๊าซ (NGV) มีค่าออกเทน 120 RONก๊าซทั้งสองชนิดมีค่าออกเทนที่ใกล้เคียงกับน้ำมันเบนซิน จึงนำมาดัดแปลงใช้กับเครื่องยนต์ที่กำหนดให้ใช้เบนซินออกเทน 91,95 ได้

ทำไมเครื่องยนต์ที่ถูกดัดแปลงมาใช้ก๊าซ (LPG) ก๊าซ (NGV) มักจะมีปัญหาเรื่องเสียงดังของวาล์ว บ่าวาล์วทรุด

การเผาไหม้ของก๊าซ (LPG) จะให้ค่าความร้อนสูงประมาณ กว่า 400 °C การเผาไหม้ของก๊าซ (NGV) จะให้ค่าความร้อนสูงประมาณ กว่า 500 °C : ซึ่งสูงกว่าการใช้พลังงานน้ำมันเบนซินถึงกว่า 2 เท่า ความร้อนจะทำให้โลหะชิ้นส่วนของบ่าวาล์วนิ่มและอ่อนตัว ส่งผลให้เกิดการสึกหรอได้อย่างรวดเร็ว น้ำมันเบนซินจะมีสารปรุงแต่ง (Additive) จำพวก สารปกป้องบ่าวาล์ว สารหล่อลื่น สารชะล้างต่างๆ

      เมื่อเกิดการเผาไหม้ไอของน้ำมันจะเคลือบอยู่ที่ชิ้นส่วนต่างๆ ของบ่าวาล์ว สามารถรับแรงกดแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี ส่วนพลังงานก๊าซไม่สามารถปรุงแต่งใดๆ ได้ ไอดีของก๊าซมีลักษณะเป็นไอที่แห้ง ไม่มีสารเคลือบบ่าวาล์ว ทำให้การสึกหรอจากการปิด ? เปิดของวาล์ว เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์ ไม่ได้ถูกออก แบบมาให้รองรับค่าความร้อนสูงถึงความร้อนของ ก๊าซ (LPG) และ ก๊าซ (NGV) จึงทำให้เครื่องยนต์ที่ถูก  ดัดแปลงมาใช้พลังงานก๊าซเกิดการสึกหรออย่างรวดเร็ว

การสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยน้ำมันเบนซินและใช้น้ำมันสักพัก จะสามารถช่วยเลี้ยงวาล์วได้ หรือไม่

การสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยน้ำมันเบนซินจะทำให้เครื่องยนต์สตาร์ทติดง่ายการสึกหรอ จะน้อยกว่าการ
สตาร์ทด้วยก๊าซ ส่วนการใช้น้ำมันเบนซินเลี้ยงวาล์วนั้น ยังไม่เคยมีการทำการทดสอบอย่างเป็นทางการ
เป็นเพียงแต่ข้อสันนิฐาน

     แต่การใช้น้ำมันเบนซินให้บ่อย และนานขึ้นในช่วงก่อนออกรถและก่อนที่จะทำการดับเครื่องยนต์ ก็จะมีส่วนช่วย ให้ไอน้ำมันเบนซินเข้ามาช่วยชะล้างเขม่าหรือขี้เถ้าที่เกิดจากการสันดาปด้วยก๊าซได้ อย่างไรก็ดีทันที่มีได้มีการปรับเปลี่ยนมาใช้ก๊าซแทนน้ำมันเบนซิน ก็มีแนวคิดในเรื่องของ ความร้อนที่เกิดจากการสันดาปด้วยก๊าซที่ให้ความร้อนที่สูงกว่าน้ำมัน ดังนั้นไอน้ำมันเบนซินที่เคลือบไว้ตามส่วนต่างๆของวาล์วก็จะถูกความร้อนของก๊าซเผาไหม้ไปไนเวลาต่อมานั้นเอง

     จึงพิจารณาได้ว่าการเลี้ยงวาล์วด้วยน้ำมันเบนซินไม่น่าจะได้ผลดีเท่าที่ควร (ในจังหวะอัด ก่อนที่ลูกสูบจะเคลื่อนตัวขึ้นสู่จุดศูนย์ตายบนเพียงเล็กน้อย หัวเทียนจะจุดประกายเผาไหม้ส่วนผสมไอดีให้ลุกไหม้ ทำให้เกิด
พลังงานแรงดันสูงประมาณ 30 ถึง 60 บาร์ และให้ ความร้อนสูงสุด 2000 ถึง 2500 องศาเซลเซียส
และจะลดลงประมาณ 900 ถึง 800 องศาเซลเซียสเมื่อลูกสูบเคลื่อนตัวลงสู่จุดศูนย์ตายล่าง)

จะมีวิธีป้องกันปัญหาเรื่องเสียงดังของวาล์ว บ่าวาล์วทรุด และบ่าวาล์วรั่วหรือไม่

เครื่องจักรทุกชนิดที่มีการเคลื่อนที่เกิดการเสียดสี เกิดการกระแทก ก็ย่อมเกิดการสึกหรอเป็นธรรมดา
          แต่สำหรับเครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซจะมีการสึกหรอมากขึ้นกว่าปกติ ก็เนื่องมาจากความร้อนที่เกิด ขึ้นมากกว่านั้นเอง ดังนั้นวิธีการแก้ปัญหาให้หมดไปนั้นจึงไม่สามารถทำได้ แต่หากจะทำให้ปัญหาดัง กล่าวลดลงไปได้บ้างก็พอจะมีวิธีแนะนำอยู่บ้างเช่น
 

  •   อัตราการสึกหรอของบ่าวาล์วจะลดลงได้ถ้าหากใช้ความเร็วต่ำ
  •   ไม่ขับขี่รถยนต์ในเวลาที่มีอากาศร้อนจัดเป็นระยะทางไกล โดยไม่มีการพัก มีการใช้รถอย่างต่อ    เนื่องแต่ไม่ควรเกิน 1 – 2 ชั่วโมง
  •   ควรสลับมาใช้น้ำมันเบนซินในสัดส่วน 1 ต่อ 10 ของการใช้งานจริง
  •   ดูแลเรื่องระบบระบายความร้อน ระบบหล่อเย็นด้วยน้ำ และพัดลมให้อยู่ในสภาพที่ดี ไม่อุดตัน และ  ควรใช้ผลิตภัณฑ์จำพวกน้ำยาหม้อน้ำควบคู่ไปด้วย
  •   ควรใช้น้ำมันเครื่องที่มีเบอร์ความหนืด (SAE) ที่สูงขึ้น
  •   ในส่วนของน้ำมันที่ใช้สำหรับเลี้ยงวาล์ว ควรเลือกใช้น้ำมันที่มีคุณสมบัติในการใช้งานโดยเฉพาะ

 

              ซึ่งผู้ผลิตได้มีการศึกษาถึงคุณสมบัติที่ใช้งานโดยเฉพาะ ก็จะแก้ปัญหาของการสึกหรอของบ่าวาล์วได้โดยตรงแล้วจะไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อเครื่องยนต์ และสิ่งแวดล้อม ไม่ควรใช้น้ำมันอื่นๆ    มาทดแทนโดยปราศจากความเข้าใจในผลิตภัณฑ์นั้นๆ เพราะนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดผลดีแล้ว   ยังจะส่งผลเสียให้กับเครื่องยนต์ตามมาอีกด้วย

ไอของน้ำมันเครื่องมีส่วนช่วยเลี้ยงวาล์วได้หรือไม่

ก่อนอื่นต้องขอถามว่า ไอน้ำมันเครื่องคืออะไร

ไอน้ำมันเครื่องที่เราเห็นคือ ไอเสียที่ตกค้างจากการ เผาไหม้ เชื้อเพลิงที่ถูกเผาไหม้ เป็นแก๊สไอเสีย  จะถูกระบายออกจากเครื่องยนต์ผ่านลิ้นไอเสีย จะมีประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่ตกค้างจากการ   เผาไหม้ประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์จะเป็น คาร์บอน ซัลเฟอร์ และน้ำ ตกค้างอยู่ในกระบอกสูบ และ  เมื่อรวมตัวกันจะเกิดเป็นกรดกำมะถัน ทำปฏิกิริยากับน้ำมันเครื่อง จะเกิดแก๊สพิษและโคลนตรงกัดกร่อนชิ้นส่วนต่าง ๆ ของ เครื่องยนต์ และเป็นเหตุให้น้ำมันเครื่องเสื่อมคุณภาพโดยเร็ว

      ดังนั้นจึงต้องมี การต่อท่อ ระบายแก๊สให้ออกไปจากเครื่องยนต์ โดยนำไอเสียนี้กลับเข้ามาเผาไหม้ใหม่อีกครั้งเพื่อ ลดมลภาวะอากาศเป็นพิษ (เป็นกฎข้อบังคับในการกำจัดไอเสียที่เป็นพิษ) และช่วยประหยัดเชื้อเพลิง ได้อีกทางหนึ่ง ดังนั้นจึงตอบได้ว่า วิศวกรได้ออกแบบระบบไอน้ำมันเครื่องโดยไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อ นำไอน้ำมันเครื่องมาเลี้ยงวาล์วโดยตรง แต่ดูจากระบบแล้ว ไอของน้ำมันเครื่องก็หน้า จะมีส่วนช่วย ในการป้องกันการสึกหรอของวาล์วได้ไม่มากนัก

เปลี่ยนผ้าเบรค ต้องเจียรจานไหม?

“โดยทั่วไปถ้าเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่ ต้องเจียรจานเบรคทุกครั้งไม๊ครับ?”

ตอบ. เรื่องนี้เถียงกันมานานเหมือนจอดรถติดไฟแดงต้องเหยียบเบรคไหม? มาฟังแนวคิดแต่ละฝ่าย

เจ้าของรถ: ไม่อยากเจียร เพราะเสียดายเนื้อจานเบรค (ยุคที่ผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศมีน้อย จานเบรคต้องนำเข้า มีราคาแพง)ต้องเสียค่าแรงเพิ่ม(ค่าเจียร) อายุจานเบรคเหลือน้อยลง (ระยะเวลาควักงินซื้อจานเบรคใหม่ก็ใกล้เข้ามา)

ร้านทำเบรค: ส่วนใหญ่แนะให้เจียร เพื่อได้ค่าแรงเพิ่ม ลูกน้องมีงานทำ ที่สำคัญผลงานออกมาดี (เบรคเอาอยู่ ลูกค้าไม่มาด่าตามหลังว่าทำเบรคไม่ดี)

ศูนย์ ซ่อมรถ และติดตั้งแก๊ส S.C.C : แนะนำให้เจียรเพราะ มันเหมือนกับ การเริ่มต้นใหม่ ของผ้าเบรก ถ้า จานเบรก มีร่อง หรือผิว ขุรขระ อาจจะทำให้ เบรกติดและเกิดอุบัติเหตุได้

หลักการ:  ผ้าเบรคที่ตั้งขนานกับจานดิสเบรค ทั้ง 2 ฝั่งมีผิวสัมผัสเรียบเนียน หมายถึงพื้นที่จับสัมผัสของ 2 วัสดุจะประกบกันสนิท  เวลาจับเข้าหากัน จะเกิดแรงยึดเหนี่ยวเต็มพื้นที่ ประสิทธิภาพการหยุดชะลอจะทรงประสิทธิภาพสูงสุด

ความเป็นจริง: จานเบรคที่ใช้งาน ไม่มีอันไหนที่เรียบเนียน มีร่องลึกบ้างตื้นบ้าง ความเรียบเนียนหายไปเท่าไร ความขรุขระจะแทนที่ พื้นที่สัมผัสระหว่างผ้าเบรคกับจานจะลดลงมากเท่าใด ประสิทธิภาพการหยุดจะลดลงมากเท่านั้น

แนวคิดเก่า: จานดิสเบรคราคาแพง  เป็นอะไหล่ถาวรคู่รถ  เจ้าของรถไม่อยากเปลี่ยน ไม่อยากเจียร อยากใส่ผ้าเบรคไปทั้งอย่างนั้น เดี๋ยวผ้าเบรคกับจานสีกันไปมา ใช้เวลาสักพัก จะสนิทเข้าหากันเอง

แนวคิดปัจจุบัน: จานดิสเบรคราคาถูกลง (รถตลาด 1500-2500 บาท) และถือเป็นอะไหล่สิ้นเปลืองชนิดหนึ่ง (เจียร มากสุดเฉลี่ยไม่เกิน 3 ครั้ง บางยี่ห้อให้ 2 ครั้ง วัดความหนากันเป็นมิลลิเมตร)

สรุป… มี 3 ปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดการเจียรจานเบรคคือ
1.ปัจจัยด้านราคา
2.ปัจจัยด้านวิศวกรรม
3.ปัจจัยด้านความปลอดภัย

ปัจจัย แรกทรงอิทธิพลในอดีต ส่งผลให้มีแนวคิดไม่เจียรจานเบรค แต่เมื่อเข้าสู่ยุคปัจจุบัน จานเบรคมีราคาถูกลง ปัจจัยแรกเริ่มเสื่อมถอย คนส่วนใหญ่หันมาให้ความสนใจปัจจัยที่ 2 -3 แทน

ปัจจัยที่ 2 เกิดขึ้น เนื่องจากผู้ใช้รถฉลาดขึ้น ช่างเสาะหาความรู้ เข้าใจหลักการทำงานพื้นฐานของระบบเบรค และทำใจได้ว่า การสึกหรอ เกิดขึ้นทั้ง 2 ฝั่งคือ ผ้าเบรคและจานเบรค ทั้งคู่จึงเป็น อะไหล่สิ้นเปลืองที่ต้องเปลี่ยนเมื่อถึงเวลา

ปัจจัยที่ 3 ระบบเบรคเกี่ยวข้องความปลอดภัยโดยตรง ถ้าไม่เจียร อาจใช้เวลาสักพักกว่าที่ผ้าเบรคกับจานจะประกบกันสนิท (อยู่ที่ชั่วโมงการใช้งาน คุณภาพวัสดุ และความลึกของรอยสึกหรอเดิม) แต่อุบัติเหตุเกิดได้ทุกเมื่อ ไม่รอเวลา ทั่งนี้การเจียรจาน หากใช้รถปกติ อาจต้องรอกว่าเข้าที่ 1-3 วันเหมือนกัน แต่ถ้าไม่เจียร จะนานกว่านั้นแน่นอน ถ้ารอยลึกๆ แล้วเจอผ้าเบรคเนื้อแข็งๆ อาจใช้เวลาเป็นเดือนกว่าผ้าเบรคจะผสานกับจานเบรคจนสนิท (หรือหลายๆ วันกว่าเบรคจะได้ที่) ช่วงนั้นเลยต้องขับระวัง อย่าไปจี้ท้ายใคร

สิ่งที่ควรตระหนักเสมอ หลังจากที่นำรถไปทำระบบเบรค ไม่ว่าเปลี่ยนผ้าเบรค เปลียนมันเบรค หรือระบบใดๆ เกี่ยวกับการหยุดรถ คือ ต้องทำให้ระบบเบรคกลับมาทำงานเต็มร้อยในเวลาอัน”สั้น”ที่สุด.

 

ด้วยเทคโนโลยี ณ วันนี้ . . .

ด้วยราคาแร่เหล็กที่ใช้ทำจานเบรค ณ วันนี้ยังไม่แพงเท่าทอง. . .

ด้วยความปลอดภัยที่ต้องคิดคำนึงถึงก่อนสิ่งอื่นใด. . .

จึงกลายเป็นที่มาของเหตุผล(ที่ผมคิด)ว่าควรที่จะ “เจียร” จานดิสเบรคในยามเปลี่ยนผ้าเบรคทุกครั้ง.

 

ถ้า ลังเลในการตัดสินใจ ให้คิดว่ามันคือคืออะไหล่สิ้นเปลืองชิ้นหนึ่ง  การเจียรจานเบรคคือทางลัดสุดที่ทำให้เบรคกลับมาสมบูรณ์ในเวลาอันสั้นสุด. หมายถึง คุณและทุกชีวิตบนรถ จะได้รับสิทธิเข้าถึงความปลอดภัย ในเวลาที่รวดเร็วสุดนั้น…เช่นกัน…)

 

ขอขอบคุณ คุณ timerider

ผ้าเบรก คอมเพล็กซ์

 

ศูนย์ซ่อมรถและติดตั้งแก๊สครบวงจร S.C.C AutoService

ท่านสามารถเข้ารับบริการ

– ตรวจเช็ค/เปลี่ยนผ้าเบรค (Brake) เจียรจานเบรก

– แบตเตอรี่ (Battery)

– เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง (Lubricant)

– เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรก

– ปรับตั้งวาวว์รถยนต์ ทุกรุ่นทั้ง ญี่ปุ่น และ ยุโรป

– ตรวจเช็ค/เปลี่ยน กรองอากาศ และกรองแอร์ (Air filter/AC filter)

– เปลี่ยนถ่ายน้ำหล่อเย็น

– ติดตั้งระบบแก๊สรถยนต์ (LPG & NGV)

– เช็คระบบแก๊ส (Maintenance)

– ตรวจเช็คระบบแก๊ส LPG เพื่อต่อภาษี (ทุก ๆ 5 ปี)

 

#‎VersusObd‬ ‪#‎sccautoservice‬ ‪#‎sccgas‬ ‪#‎LPG‬ ‪#‎CNG‬ ‪#‎NGV‬ ‪#‎ติดแก๊ส‬ ‪#‎ศูนย์บริการมาตรฐาน‬ ‪#‎ศูนย์บริการมาตรฐานครบวงจร‬ ‪#‎ศูนย์ซ่อมรถ‬ ‪#‎บริการหลังการขาย‬ ‪#‎ราคามาตรฐาน‬ ‪#‎ศูนย์บริการครบวงจรGasน้ำมัน‬ ‪#‎ติดแก๊สLPG‬ ‪#‎แก๊สปทุมธานี‬ ‪#‎แก๊สบางคูวัต‬ ‪#‎แก๊สรังสิต‬ ‪#‎แก๊สสามโคก‬ ‪#‎พลังงานทางเลือกต้องเสรีและเป็นธรรม‬ ‪#‎ติดตั้งกับศูนย์มาตรฐาน‬ ‪#‎ตัวเมืองปทุมธานี‬ ‪#‎E85ไม่ได้ถูก‬ ‪#‎LPGถูกที่สุด‬

ช่วงหน้าฝนรถของเพื่อนๆ หลายคนอาจจะถึงเวลาต้องเปลี่ยนเบรกใหม่หรือไม่?
ช่วงหน้าฝนรถของเพื่อนๆ หลายคนอาจจะถึงเวลาต้องเปลี่ยนเบรกใหม่ และเมื่อเปลี่ยนเบรกใหม่ก็เกิดคำถามยอดฮิตที่ติดตามมา คือ ต้องเจียรจานเบรกหรือไม่?

วันนี้เรามีคำตอบ

เมื่อจานเบรกผ่านการใช้งานไปได้ระยะหนึ่ง ผิวหน้าจะถูกเสียดสีด้วยผ้าเบรกจนมีลักษณะต่าง ๆ ซึ่งจะมีผลต่อระยะเวลาในการเปลี่ยนผ้าเบรก

1. จานเบรกมีร่องเป็นเส้น ๆ จะต้องเจียรจานออก แต่หากเจียรแล้วความหนาของจานเบรกน้อยกว่าที่กำหนด จะต้องเปลี่ยน จานใหม่

2. ผิวหน้าจานเบรกไม่สม่ำเสมอ เป็นจ้ำ ๆ เมื่อเบรกจะรู้สึกสะท้านกรณนี้ถ้าเป็นไม่มากสามารถเจียรจานแก้ไขได้ แต่ถ้ามีอาการมากจะต้องตรวจสอบที่หน้าแปลนดุมล้อของรถ หรืออาจต้องเปลี่ยนจานเบรก

3. จานเบรกเป็นสนิม กัดกร่อนอย่างแรง ขึ้นอยู่กับความมากน้อยของสนิมที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นไม่มากสามารถเจียรจานแก้ไขได้ แต่ถ้าเป็นสนิมมากควรจะเปลียนจานเบรกใหม่

4. จานเบรกร้อนจัด ไหม้ หรือมีการเปลี่ยนสีเป็นสีฟ้าหรือน้ำเงิน ถ้าเปลี่ยนสีเป็นสีฟ้าไม่เข้มมาก ทิ้งไว้สักพักจะกลับสู่สภาพที่ใช้งานได้ แต่หากเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม จะต้องเปลี่ยนจานเบรกทันที

ความเรียบของผิวจานเบรกมีผลต่อประสิทธิภาพการเบรก จานเบรกและคาลิปเปอร์ เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญมากในการหยุดรถ ประสิทธิภาพของการเบรกที่ดีนอกจากจะขึ้นอยู่กับผ้าเบรกแล้ว ยังขึ้นกับความสมบูรณ์ของชุดคาลิปเปอร์ และความเรียบของจานเบรกด้วย เพื่อให้ผ้าเบรกและจานเบรกทำงานได้สมบูรณ์ที่สุด ในการเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่ทุกครั้งควรตรวจดูความเรียบของจานเบรกทุกครั้ง หากผิวหน้าจานเบรกมีรอยขูดขีดมากผิดปกติ ผู้ใช้รถควรปรับผิวหน้ารถให้เรียบร้อย หากจานเบรกผิดเบี้ยวหรือแตกหัก ควรเปลี่ยนจานเบรกใหม่ทันที

 ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก Compact brakes

เคยไหมขับรถแก๊สหน้าหนาวแล้ว เกิดอาการแปลกๆ?

-ทำไมเวลาขับรถหน้าหนาวแล้ว ตัดเข้าแก๊สช้ากว่าปกติ

-ทำไมเวลาขับแก๊สเริ่มแรกรถมีอาการกระตุก

อาการดังกล่าว ไม่ได้มีอาการผิดปกติแต่อย่างใดครับ

ซึ่งหากเป็นหน้าร้อน อุณหภูมิน้ำภายในหม้อน้ำ ที่จอดทิ้งไว้ข้ามคืนอาจจะอยู่ที่ 28-35 องศา ตามอากาศภายนอก เมื่อสตาร์ทรถ จะความร้อนไปที่ 50-60 องศา ภายใน 5นาทีแรก หลังจากสตารท์ ซึ่งระบบน้ำของรถยนตืนั้นจะไหลเวียนผ่านยังหม้อต้่มแก๊สให้พร้อมใช้งาน ได้เป็นปกติ

แต่เมื่อมาใช้ระบบแก๊สในหน้าหนาว  อุณหภูมิ ปกติของ แก๊ส LPG จะอยู่ที่ -50 เมื่อกักเก็บภายในถัง ส่วน ก๊าซ CNG จะอยู่ที่ -105 และด้วย อุณหภูมิ น้ำในหม้อน้ำ หน้าหนาวนี้ อาจจะไปอยู่ที่ 11-20 องศา เลยทำให้การทำความร้อนของระบบรถช้ากว่าปกติ เลยต้องใช้เวลาที่มากขึ้น

ส่วนการแก้ไขอาการดังกล่าวนะหรอครับ ง่ายๆครับ แค่สตาร์ทรถวอร์มเครื่องไว้ ก่อนแล้วค่อยตัดเข้าระบบแก๊ส ไม่ใช่แค่จะทำให้แก๊สใช้งานได้อย่างเดียวนะครับแต่มันจะช่วย ถนอมรถยนต์และใช้ความร้อนไล่ ไอน้ำ น้ำแข็งที่จะอยู่ในเครื่องยนต์ และทำให้เครื่องยนต์พร้อมใช้งานครับ

ใช้รถแก๊สอย่างปลอดภัย ควรสังเกตุพฤติกรรม และ หมั่นเข้าตรวจเช้คนะครับ

17 ข้อควรทำ สำหรับรถติดแก๊ส

โดยส่วนใหญ่ผู้ใช้รถที่ติดตั้งแก๊สมักไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องของระบบแก๊สและการดูแล

จนเป็นที่มาของการใช้รถที่ติดแก๊สแล้วมีปัญหาจนไม่อยากใช้งาน เรามาลองดูกันว่าเราควรที่จะต้องดูแลอย่างไรกับรถที่ติดตั้งแก๊สบ้าง

รถติดแก๊ส

1.  ตรวจเช็ครอยรั่วซึมของแก๊ส ตามข้อต่อ และจุดต่างๆ ทุกเดือน โดยใช้ฟองสบู่ หรือเครื่องตรวจวัดการรั่วของแก๊ส

2.  ตรวจเช็ค และทำความสะอาดไส้กรองอากาศทุก ๆ 5,000 กิโลเมตร ซึ่งบ่อยกว่าการตรวจเช็คเมื่อใช้น้ำมันเบนซินเพียงอย่างเดียว (ปกติ 10,000 กิโลเมตร)

3.  ตรวจสอบอุปกรณ์สำหรับเติมแก๊ส ถังแก๊สตรวจ น็อตที่ยึดถังแก๊สทุกเดือน

4.  ควรตรวจเช็ค และตั้งบ่าวาล์วไอเสียทุกระยะ 40,000 – 60,000 กม. เพราะบ่าวาล์วไอเสียของเครื่องยนต์ที่ใช้แก๊ส NGV และแก๊ส LPG จะ มีโอกาสสึกหรอเร็วกว่า จึงควรที่จะใช้น้ำมันเบนซินสลับกับการใช้แก๊ส เพื่อให้น้ำมันเบนซิน ไปเคลือบบ่าวาล์วบ้างเพื่อให้มีอายุการใช้งานนานขึ้น

5.  ห้ามดัดแปลงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการใช้งานแก๊สที่ได้รับการติดตั้งจากศูนย์ที่ได้มาตรฐานหากมี ปัญหาให้รีบติดต่อศูนย์บริการที่ติดตั้งมาทันที

6.  ห้ามเติมแก๊สเกินแรงดันที่กำหนดไว้ของถัง จะทำให้ถังเสื่อมคุณภาพเร็ว และอาจระเบิดได้

7.  เพื่อรักษาประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ ควรใช้น้ำมันสตาร์ทเครื่องยนต์ก่อนและหลังการใช้

8.  หาก เกิดการรั่วไหลของแก๊ส ให้รีบหยุดรถ และดับเครื่องยนต์โดยทันที รีบปิดวาล์วที่ถังแก๊ส และห้ามทำการใด ๆ ที่ทำให้เกิดประกายไฟ ตรวจดูว่าหากไม่มีการรั่วไหลเพิ่ม ให้เปลี่ยนระบบมาใช้น้ำมันสตาร์ทเครื่องแล้วรีบนำรถเข้าไปยังศูนย์บริการที่ติดตั้งแก๊สโดยทันที

9.  หากเกิดไฟไหม้ที่ตัวรถให้รีบดับเครื่องยนต์ปิดวาล์วที่ถังแก๊สโดยทันทีถ้าทำได้ และออกห่างจากตัวรถ หรือพยายามดับไฟที่แหล่งกำเนิด

10. เพื่อรักษาประสิทธิภาพ และคุณภาพของชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบน้ำมัน ควรมีน้ำมัน ติดถังไว้อย่างน้อย 1 ส่วน 4 ถังเสมอ ๆ และเพื่อป้องกันระบบปั๊มน้ำมันเสีย

11. กรองอากาศ บาง ท่านที่ใช้รถมักจะดูแลความสะอาดของกรองอากาศเมื่อนำรถเข้าเปลี่ยนถ่ายน้ำมัน เครื่อง หากเราใช้แก๊สระบบดูดคงต้องหันมาสนใจมันมากหน่อย กล่าวคือควรที่จะทำความสะอาดทุกๆ สัปดาห์ได้จะยิ่งดีครับ ถามว่าทำไมมันต้องทำขนาดนั้น ก็เนื่องด้วยระบบดูด หากกรองอากาศมันตันเครื่องยนต์พยายามที่จะดูดอากาศเข้าไปแต่กรองอากาศมันตัน เสียแล้ว มันก็จะไปดูดแก๊สแทนก็จะทำให้ส่วนผสมระหว่างแก๊สกับอากาศผิดไป ทำให้กินแก๊สมากขึ้น และอาจทำให้เครื่องยนต์ดับได้เมื่อเราเหยียบเบรก หรือชะลอความเร็ว

12. หัวเทียน อย่าง ที่เคยอธิบายไปแล้วว่า แก๊สนั้นจะติดไฟยากกว่าน้ำมัน หากหัวเทียน เสื่อมสภาพก็จะทำให้เครื่องยนต์ของเราเดินได้ไม่เรียบเวลาเดินเบา หรืออาจเกิด Back Fire ได้ ซึ่งอันตรายมากครับ จึงแนะนำให้มีการเปลี่ยนหัวเทียนเมื่อครบอายุการใช้งานครับ และควรใช้เบอร์เดียวกับที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์เค้ากำหนด

13. การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หาก เราใช้น้ำมันเครื่องเกรดเดิมที่เคยใช้อยู่ ก็ลดระยะทางในการเปลี่ยนถ่ายลงสักหน่อยคือเปลี่ยนถ่ายให้เร็วขึ้นนะครับ เช่น เมื่อก่อนเคยเปลี่ยนถ่ายทุก 5,000 กม. ก็ลดลงมาให้เหลือสัก 4,000 กม. ถามว่าทำไม ก็อย่างที่เคยอธิบายเอาไว้นะครับว่า เครื่องยนต์ที่เผาไหม้แสจะเกิด กรด มากกว่าการเผาไหม้ด้วยน้ำมัน ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมและเกิดการเสียหายกับเครื่องยนต์ของ เราก็ควรจะทำอย่างที่ผมแนะนำ แต่หากเราใช้น้ำมันเครื่องที่มีเกรด และคุณสมบัติดีกว่าเดิม ก็เปลี่ยนถ่ายตามระยะปกติที่เคยทำนะครับ

14. ระบบน้ำหล่อเย็น ควร ที่จะต้องตรวจดูให้บ่อยขึ้น เนื่องด้วยอาจมีการรั่วตามจุดที่เราติดตั้งอุปกรณ์แก๊สขึ้นมาได้ และที่สำคัญความร้อนจากการเผาไหม้แก๊สจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นจากเดินเล็กน้อย แต่ก็จะทำให้น้ำระเหยได้เร็วขึ้นด้วยครับ

15. การรั่วของระบบแก๊ส อัน นี้ถ้าทำได้บ่อยก็จะดีมาก เราอย่าไว้ว่างใจว่าเราติดตั้งกับร้านที่ดีแล้วมันจะไม่เกิดการเสียหาย ทุกอย่างมีการสึกหรอและชำรุดได้อยู่แล้วดังนั้นทุกๆ 3 เดือน ควรมีการตรวจเช็คระบบแก๊สกันสักครั้งครับ

16. ปรับจูนการทำงานของหม้อต้ม เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานเป็นไปอย่างดีอยู่เสมอควรมีการปรับจูนระบบการการแก๊สอย่างน้อย 3 เดือน ครั้งครับ หากทำได้รับรองเลยว่าเราจะใช้งานได้สะดวกและปลอดภัย

17. เช็คระบบควบคุมการทำงานของระบบแก๊ส ชุด นี้จะไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่หากเราไม่ไปซนกับมันมาก กล่าวคือเมื่อเราเปิดเป็นระบบออโต้ ไว้ก็ไม่ควรที่จะไปปรับแล้ว เพราะมันจะทำให้สวิทซ์ควบคุมชำรุดได้เร็วขึ้น เมื่อรู้เช่นนี้ก็อย่าไปกดมันเล่นเลยนะครับ

น้ำยาหล่อเย็น มีประโยชน์กับหม้อน้ำอย่างไร ?

หน้าที่หลักๆขอน้ำยาหม้อน้ำคือ

1ป้องกันน้ำในระบบแข็งตัวเป็นน้ำแข็งในจังหวะสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ๆ (เมืองนอกที่อากาศติดลบทั้งหลาย)

2เพิ่มจุดเดือนน้ำ คือชลอการละเหยของน้ำในระบบหล่อเย็นเวลาเครื่องยนต์ร้อนจัด (ข้อนี้สำหรับเมืองร้อนด้วย)

เพราะเวลาน้ำเดือดน้ำจะระเหยกลายเป็นไอ ลองต้มน้ำในหม้อดูสิครับ น้ำเปล่าเริ่มระเหยเป็นไอที่ 100C ํ

ถ้าผสมน้ำยาก็จะระเหยที่ 105 / 110  / 115 องศาเซลเซียส ….ตามสัดส่วนการผสม…

3 ป้องกันการเกิดสนิม ตะกอน พอมีสนิมก็ผุ กร่อน.มีตะกอน.(ลดความเสี่ยงในการอุดตันในหลอดน้ำที่รังผึ้งหม้อน้ำ)

4 หล่อลื่นปั๊มน้ำและซีลปั๊มน้ำ และวาล์วน้ำ (อันนี้เกี่ยวเนี่องจากข้อ3 เพราะไม่มีตะกรัน ตะกอน)

น้ำหล่อเย็น

แล้วหัวเทียนทั้ง 8 ชนิดมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร ?

ข้อดีข้อเสีย

1.หัวเทียนแพล้ตตินั่ม มีข้อดีตรงที่ทนทานต่อการสึกกร่อน ทนทานต่อความร้อนสูงและช่วยส่งประกายไฟได้ดีคับ ส่วนข้อเสียคือราคาแพงคับ

2.หัว เทียนรถแข่ง มีข้อดีตรงที่เหมาะสำหรับการขับในรอบสูง (เพราะหัวเทียนชนิดนี้เย็นมาก) ข้อเสียคือไม่เหมาะแก่การใช้งานในเมืองคับ(เพราะเขม่าจะจับมาก)

3.หัวเทียนปลายตัด มีข้อดีตรงที่ หัวเทียนชนิดนี้ออกแบบให้อนุภาคของสารและเขม่าอื่นๆปลิ่วว่อนอยู่ในห้องเผาไหม้ม่เกาะเขี้ยวหัวเทียน

4.หัว เทียนจมูกยาว มีข้อดีตรงที่สามรถเพิ่มความร้อนได้อย่างรวดเร็วทำให้เขม่าไม่เกาะแต่ขณะใช้ รอบสูงก็จะไม่ร้อนเกินไปเพราะมีไอดีจากจังหวะดูดมาพัดเอาความร้อนไปและมีประ สิทธ์ภาพพอๆกันกับหัวเทียนแพล้ตตินั่มส่วน ข้อเสียคือหัวเทียนชนิดนี้ใช้ไม่ได้กับเครื่อง Side Vale คับ

5.หัวเทียนไร้เขี้ยว มีข้อดีตรงที่ทนทานต่อประกายไฟแรงๆคับ

6.หัวเทียนที่มีหลายเขี้ยว มีข้อเสียตรงที่หัวเทียนชนิดนี้ออกแบบมาสำหรับเครื่องบินซึ่งทำงานด้วยความ เร็วคงที่ซึ่งถ้านำมาใช้กับรถในเมืองเขม่าจะเกาะง่ายและทำความสะอาดยากขึ้นคับ

7.หัวเทียนเขี้ยวทองแดง มีข้อดีตรงที่ ถ่ายเทความร้อนได้ไวกว่าโลหะอย่างอื่นเหมาะสำหรับรถความเร็วสูงและบรรทุกหนักคับ

8.หัวเทียนชนิดเร่งประกายไฟ มีข้อดีตรงที่สามารถจุดประกายไฟขณะที่มีเขม่าจับและเหมาะกับรถที่ใช้งานในเมืองหนาวด้วยคับ

หัวเทียนมีทั้งหมด กี่ชนิด?
8 ชนิดนะคับ ได้แก่

1.หัวเทียน แพล้ตตินั่ม
2.หัวเทียนรถแข่ง
3.หัวทียนปลายตัด
4.หัวเทียนจมูกยาว
5.หัวเทียนไร้เขี้ยว
6.หัวเทียนมีหลายเขี้ยว
7.หัวเทียนเขี้ยวทองแดง
8.หัวเทียนชนิดเร่งประกายไฟ คร๊าบ

หัวเทียนร้อนกับเย็นมันต่างกันยังไง ?
หัวเทียนร้อน
“หัวเทียนร้อนเนี่ย….ตัวมันเองจะระบายความร้อนออกได้ช้า” เมื่อเราใช้งานจริง ในห้องเผาไหม้มันมีความร้อนจากการจุดระเบิด เมื่อหัวเทียนรับความร้อนนั้นมา จะส่งผลให้เกิดความร้อนสะสมที่หัวเทียนอยู่อย่างนั้น

หัวเทียนเย็น
“หัวเทียนเย็นก็คือ…ตัวมันสามารถถ่ายเทความร้อนออกไปได้เร็วกว่าหัวเทียน ร้อน” แต่ใช่ว่าจะมันจะหายร้อนเลยนะ อย่างนั้นไม่ใช่ จริง ๆ แล้ว หัวเทียนจะมีความร้อนสะสมอยู่ระดับนึงเพื่อให้แห้งตลอดเวลา เป็นทั้งหัวเทียนร้อนและหัวเทียนเย็น เพียงแต่ว่าหัวเทียนเย็นจะถ่ายเทความร้อนได้เร็วกว่าเท่านั้นเอง

มันก็เหมือนกับเหล็กเผาไฟนั่นแหละ เมื่อโดนน้ำมันก็จะดัง “ฟู่” ควันฉุยแล้วก็หายไป แต่เหล็กนั้นก็ยังร้อนอยู่เหมือนเดิม ซึ่งเงื่อนไขมันเป็นอย่างนี้นะ “ไอดี” มันเป็น “ความชื้น” เมื่อความชื้นพ่นมาโดนอะไรสักอย่าง มันก็จะทำให้ของชิ้นนั้นเปียก ดังนั้นถ้าเราเปรียบของชิ้นนั้นเป็นหัวเทียน ถ้ามันเปียก ก็จะส่งผลให้ “หัวเทียนบอด”

ทำไมต้องเปลี่ยนหัวเทียน ?

หัว เทียนเมื่อถูกใช้งานไปได้ระยะหนึ่ง จะเกิดการสึกกร่อนที่ปลายแกนกลาง และเขี้ยวของหัวเทียน เกิดจากปฏิกิริยาออกซิไดซ์ ที่สะสมความร้อนได้ระดับหนึ่ง ปริมาณการสึกกร่อนขึ้นอยู่กับจุดหลอมละลายของวัตถุที่นำมาทำแกนกลาง และเขี้ยวหัวเทียน เพื่อยืดอายุการกัดกร่อนนั้น จึงต้องอาศัยโลหะพิเศษ เช่น นิคเคิล อัลลอย ทองคำขาว อิริเดียม ผสมเข้าไปเป็นตัวป้องกัน นอกจากนี้ปริมาณการสึกกร่อนยังขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน และชนิดของเครื่องยนต์ด้วย สำหรับหัวเทียนธรรมดา ปริมาณการสึกกร่อนอยู่ประมาณ 0.10-0.15 มม. ในทุกๆ 10,000 กม. การดูปริมาณการสึกกร่อนของหัวเทียนนั้น สามารถดูด้วยตาตนเองได้ ตรงบริเวณแกนกลาง และเขี้ยวหัวเทียน ถ้าเริ่มสึกกร่อนเป็นลักษณะรูปโค้งมน ไม่มีเหลี่ยมคมแล้ว นั่นหมายความว่า ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแล้ว เพราะถ้ายังใช้อยู่ จะทำให้เครื่องยนต์ไม่มีกำลัง กินน้ำมันมากขึ้น เนื่องจากหัวเทียนจุดประกายไฟ และจุดระเบิดเริ่มไม่สม่ำเสมอ

หัวเทียน ควรเปลี่ยนตอนไหน ?

วันนี้มีเทคนิคการดูแลรถยนต์เกี่ยวกับ”หัวเทียน” มาฝาก รถยนต์ของเพื่อนๆเคยมีอาการแบบนี้หรือป่าวครับ

“สตาร์ทติดยาก เร่งไม่ขึ้น เครื่องสั่นเมื่อถึงรอบเดินเบา กินน้ำมัน” ปัญหานี้จะลดหรือหมดไป แค่เปลี่ยน หัวเทียน ! เพราะฉะนั้นจึงต้องทำการเปลี่ยนใหม่ทุกๆ 20,000 – 30,000 กม.

เช็ค 20,000 กิโลหรือ6เดือน ต้องตรวจชเ็คอะไรบ้าง
หลักจากใช้งานมาอย่างหนักในระยะ 20,000 กิโลต้องตรวจเช็คทุกอย่างของระบบ

1.เช็คท่อยางว่ามีการเสื่อมสภาพจากความร้อนและเย็นหรือไม่

2.เช็คแรงดันของหม้อต้ม ยังคงทำงานที่ค่าเดิมที่ตั้งไว้ตอนติดตั้งหรือไม่

3.เช็คค่าต่างๆในระบบว่าปกติหรือไม่

4.เช็ครอบรั่วต่างๆ รอบคันรถว่าไม่มีรุ่วซึม ตรงไหน

5.เช็คการทำงานของระบบไฟฟ้า

การเช็คแม้จะต้องเสียเวลา 1-2 ชม (ในกานั่งรอ) แต่ที่สำคัญ เพิ่มความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของท่านได้เป็นอย่างดี

เช็คระยะ 1000กิโล หรือ 1 เดือน ต้องตรวจและทำอะไรบ้าง
สิ่งที่ควรเตรียมหลังจากติดตั้งแก๊สไปแล้วนั้นคือ ข้อมูลการใช้งานจริง คือ
1.เติมแก๊สเต็มถังได้เท่าไหร่
2.อัตราการสิ้นเปลือง เติมแก๊ส 1 ถังวิ่งได้กี่กิโล
3.รถมีสภาพการขับขี่ที่ ไม่เป็นปกติ หรือป่าว เช่นเร่งเครื่องไม่ขึ้น อืดมาก กระตุก
ทั้ง 3ข้อเป็น ข้อมูล สำคัญในการเข้ารับบริการตรวจเช็คหลังจากติดตั้งรถ เพราะจะได้ ปรับตั้งค่าให้ดีและใช้งานได้ต่อไป เพระาการตรวจเช็คครั้งที่ 2 รอบจะอยู่ที่ 20,000 กิโลหรือ 6 เดือนนั้นเอง
แต่หากลูกค้ามีปัญหา หรือต้องการตรวจเช็คเพื่อจะเดินทางไปต่างจังหวัด สามารถเข้ารับบริการได้ ตลอดนะครับ
ทำไมต้องตรวจเช็คระยะ ?ทำไมต้องตรวจเช็คระยะ รถไม่เกิดปัญหาอะไรนี้ใช้งานได้ปกติ ไม่ต้องตรวจได
1.ต้องตรวจเช็คความเรียบร้อย ของระบบแก๊ส เช่นท่อยาง จุดเชื่อมต่อต่างๆว่ามีคลายตัว หลุดหรือไม่
2.ต้องตรวจสอบว่าระบบทุกอย่างยังทำงานเป็นปกติตั้งแต่ที่ติดตั้งหรือไม่
3.นี่ สำคัญเลยครับ รถทุกคนที่ติดตั้งแก๊สไม่ว่ายี่ห้อไหนก็ตาม ต้องหมั่นตรวจเช็ครถตามระยะที่แจ้งไว้ไม่อย่างนั้น ประกันวินาศภัยทุกคันที่ได้รับจะถือเป็นโมฆธะและไม่รับผิดชอบนะครับ
เหตุผลทั้งหลายเหล่านี้ คือคำตอบว่าทำไมต้องตรวจเช็คระยะ
หม้อน้ำควรเติมเมื่อไหร่?
โดยปกติเราจะดูหม้อน้ำเมื่อเดินทางไกล จริงๆ ควรหมั่นตรวจสอบดูเป็นประจำอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพระาการใช้น้ำของระบบแก๊สนั้น ขึ้นอยู่กับระยะทางและเวลาที่เราใช้งานหรือน้อยแค่ไหนนะครับ
แล้วควรใช้น้ำมันเท่าไหร่ในแต่ละวัน?
ปกติเราจะพยายามให้ลูกค้าใช้น้ำมันในการเดินทางอยู่ที่ 5-10%ของ ระยะทางที่เราเดินทางต่อวัน เพื่อให้ระบบน้ำมันมีการใช้งานและตื่นตัวอยู่เสมอครับ หรืออย่างน้อยที่สุดคงสตารทเครื่องด้วยระบบน้ำมัน วอร์มเครื่องยนต์ก่อนใช้ อย่ารีบเร่งให้น้ำร้อนและตัดเข้าแก๊สทันที เพียงแค่นี้ก็ทำให้รถติดแก๊สของคุณสามารถใช้งานได้อย่างปกติทั้ง 2 ระบบล่ะครับ
ควรเติมน้ำมันเท่าไหร่ เพราะใช้แก๊สทุกวัน?
ควรจะเติมน้ำมันไว้ที่ ครึ่งถัง เพราะอะไรหรอครับเติมไว้เพื่อที่จะระบายความร้อนของปั้มติ๊กภายในถังเติมเพื่อให้น้ำมันมีการหมุนเวียนไม่เกิดการอุดตันและให้ระบบทำงานได้อย่างปกติ เพราะในขณะที่เราใช้แก๊สอยู่นั้น ระบบน้ำมันก็รอสแตนบายในกรณีที่แก๊สหมดหรือระบบมีปัญหาจะตัดเข้าสู่ระบบน้ำมันทันทีครับ

Frequently Asked Questions

ถามตอบเกี่ยวกับการดูแลรักษารถติดแก๊ส